กลุ่มบริษัทอิตัลไทย มั่นใจครึ่งปีหลังยังรุกขยายธุรกิจต่อเนื่อง

กลุ่มบริษัทอิตัลไทย ชึ้สัญญาณ “ก่อสร้าง–เครื่องจักรกล” ชะลอตัว หลังต้นทุนเหล็ก-ปูนพุ่ง แต่ยังเชื่อมั่นลุยส่งรถขุด SDLG รุ่นใหม่เจาะตลาดเหมือง โรงโม่กลางปีนี้ ส่วน “ท่องเที่ยว-บริการ” ตามเมืองท่องเที่ยวหลักเริ่มฟื้น หลังรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการ ประเมินครึ่งปีหลังไปได้ดีแต่ยังไม่เท่าสภาวะก่อนโควิด-19 พร้อมเตรียมเปิดโรงแรมในมาเลเซียและมัลดีฟท์ปลายปีนี้

          กลุ่มบริษัทอิตัลไทย โดยนายยุทธชัย จรณะจิตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทอิตัลไทย เปิดเผยภาพรวมช่วงไตรมาสแรก ปี 2565 ว่า ปีนี้เป็นอีกปีที่ต้องเผชิญความท้าทายต่อเนื่องจากโควิด-19 ที่ลากยาวมากว่า 2 ปี และวิกฤตสงครามรัสเซีย – ยูเครน โดยกลุ่มบริษัทอิตัลไทยที่มีพอร์ตธุรกิจตั้งแต่ “จำหน่ายเครื่องจักรกลหนัก-รับเหมางานวิศวกรรมและก่อสร้างครบวงจร” และ “บริหารจัดการโรงแรม–ไลฟ์สไตล์” ได้ประเมินสถานการณ์และปรับทิศทางดำเนินแต่ละธุรกิจ ประกอบด้วย 1.กลุ่มธุรกิจเครื่องจักรกลหนัก ธุรกิจรับเหมางานวิศวกรรมและก่อสร้างแบบครบวงจร ในตลาดนี้การลงทุนยังพอมีอยู่ในกลุ่มโครงการระดับกลาง ส่วนโครงการเมกะโปรเจทค์ยังคงชะลอตัว ส่งผลให้ Ecosystem ทั้งการจ้างงาน การใช้เครื่องจักรกลหนัก วัสดุก่อสร้าง และอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องได้รับผลกระทบเป็นห่วงโซ่ ทั้งยังเผชิญวิกฤตสงครามที่ทำให้ต้นทุน อาทิ เหล็ก น้ำมัน ถ่านหิน ปูนซีเมนต์ พุ่งสูงขึ้นเท่าตัว รวมถึงปัญหาแรงงานขาดแคลนจึงเป็นอีกปีที่ต้องวางกลยุทธเพื่อนำพาธุรกิจให้ผ่านพ้นภาวะการณ์ดังกล่าว ขณะเดียวกันก็ใช้เป็นโอกาสเตรียมความพร้อมผลิตภัณฑ์และบริการรองรับโอกาสในอนาคต เพราะยังเชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรมก่อสร้างจะกลับมาเติบโตอีกครั้งในอนาคตอันใกล้

ในส่วน อิตัลไทยวิศวกรรม ยังคงมีโปรเจคท์ในมือให้เดินหน้าต่ออยู่มาก และมองหาโอกาสในธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น ทั้งจากงานก่อสร้างและงานระบบสำหรับภาคอุตสาหกรรมเฉพาะทาง อาทิ ดาต้าเซ็นเตอร์ สถานีไฟฟ้าอัจฉริยะสมาร์ทกริด โซล่าร์รูฟท็อป โซลาร์ฟาร์ม วินด์ฟาร์ม คลังสินค้า โรงงาน ระบบสาธารณูปโภคสำหรับงานอาคารสูง ฯลฯ โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาปรับใช้ทั้งภายในองค์กรและเชื่อมต่อกับลูกค้ามากยิ่งขึ้น

ขณะที่ อิตัลไทยอุตสาหกรรม นอกจากการโฟกัสงานขายเครื่องจักรกลหนักแบรนด์ต่างๆ อาทิ Volvo SDLG ก็เตรียมความพร้อมบริการหลังการขายแบบครบวงจร ตั้งแต่การขยายศูนย์บริการอิตัลไทย เซ็นเตอร์ เพิ่มเติมที่อำเภอบางปะหัน อยุธยา นำระบบ ERP/CRM เข้ามาปรับมาใช้ในกระบวนการขายทำการตลาดออนไลน์และนำระบบ CareTrack และ GPS สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพการวางแผนและติดตามงานบริการตรวจเช็คซ่อมบำรุงให้ลูกค้านอกจากนี้ในไตรมาส 2 ปี 2565 ก็เตรียมเปิดตัวรถขุดขนาด 20 ตัน รุ่นล่าสุดของแบรนด์ SDLG เข้ามาเสริมทัพเพื่อเป็นอีกทางเลือกใหม่ที่คงทน คุ้มค่า คุ้มราคา แก่ผู้ประกอบการโดยเฉพาะโดยเฉพาะกลุ่มงานก่อสร้าง กลุ่มอุตสาหกรรม และกลุ่มเกษตรกรรม

2.กลุ่มธุรกิจบริหารจัดการโรงแรม และธุรกิจไลฟ์สไตล์ ผลจากที่ภาครัฐเริ่มเปิดประเทศทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มเดินทางเข้ามามากขึ้น โดยเป็นกลุ่มยุโรปและตะวันออกกลางเป็นหลัก และเริ่มเห็นแนวโน้มเชิงบวกของกลุ่ม MICE หรือ นักท่องเที่ยวที่เข้ามาประชุม สัมมนา หรือ incentive มากขึ้น คาดช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปีนี้สถานการณ์น่าจะดีขึ้นหลังภาครัฐเริ่มคลี่คลายมาตรการ โดยเฉพาะ Test&Go รวมถึงประเทศต่างๆ เริ่มผ่อนคลายด้านการเดินทาง แต่อย่างไรก็ตามจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ยังคงไม่ฟื้นกลับมาดีเทียบเท่าช่วงก่อนโควิด-19 ทันที คงต้องใช้เวลาประมาณสองปีถึงจะปรับมาอยู๋ในระดับใกล้เคียงกัน

สำหรับอัตราการจองห้องพักโรงแรมเครือออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป ในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญอย่างภูเก็ต พัทยา เริ่มกระเตื้องขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 70% รวมถึงราคาขายที่เริ่มดีขึ้นด้วย ส่วนอัตราการจองห้องพักใน กทม. ยังไม่มากนักอยู่ที่ประมาณ 50% ซึ่งประเมินภาพรวมที่ผ่านมาก็พบว่าธุรกิจในเครือออนิกซ์ฯ ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวได้เร็วคือ โรงแรม ระดับ Upper-Upscale อย่างแบรนด์อมารี (Amari) แต่ถ้าเป็นโรงแรมmidscale อย่างโอโซ่ (OZO) ในช่วงนี้จะยังไม่ฟื้นตัวมากนัก ส่วน ชามา (Shama) ที่เป็นแบรนด์เซอร์วิสท์อพาร์ทเมนท์ยังเติบโตได้ดีในกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาพักระยะยาว หรือ ลองสเตย์

นอกจากนี้ยังเชื่อมั่นศักยภาพภายใต้แบรนด์ต่างๆ ของเครือออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป จึงเดินหน้าลงทุนต่อเนื่องแต่ปรับทิศทางเน้นในพื้นที่เอเชียใต้และอาเซียนเป็นหลัก โดยช่วงต้นปี 2565 ที่ผ่านมาเพิ่งเปิดให้บริการ Shama Yen-Akat Bangkok เซอร์วิสต์อพาร์ทเมนต์ แบรนด์ Shama แห่งที่ 3 ใน กทม. ขณะที่ปลายปี 2565 ก็เตรียมเปิดโรงแรมแบรนด์ Amari เพิ่ม 2 แห่งในมาเลเซีย ได้แก่ Amari Kuala Lumpur และ Amari Spice Penang รวมถึงเตรียมเปิด Amari Maldives อีก 1 แห่ง

ในด้าน อิตัลไทยฮอสพิทาลิตี้  บริษัทในกลุ่มอิตัลไทย ที่มุ่งเน้นการทำการตลาดในฐานะ HORECA Solution Provider จับกลุ่มลูกค้าธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร (HORECA) ทั่วประเทศ ในปีนี้เน้นการสร้างและขยายฐานข้อมูลลูกค้าสัมพันธ์(CRM)  รวมถึงขยายพอร์ตฟอลิโอของสินค้าแต่ละประเภทให้หลากหลายและครอบคลุมความต้องการของตลาดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่ม ไวน์ ชา น้ำผลไม้ หรือเบเกอร์รี่ เพื่อรองรับตลาดฮอสพิทาลิตี้ที่กำลังเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ นอกจากนี้ ยังได้เปิดร้านไวน์ Italthai Cellar 2 สาขาใจกลางเมือง คือ ที่ Shama Lakeview Asoke สุขุมวิท 16 และ Amari Watergate Bangkok ให้แก่ลูกค้าทั่วไปสามารถเข้าถึงสินค้าได้ง่ายมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

สำหรับริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก ศูนย์อาร์ตแอนด์แอนทีค ริมแม่น้ำเจ้าพระยาในย่านเจริญกรุงอันเต็มไปด้วยศิลปะและวัฒนธรรม ในปีนี้ยังคงให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องในเรื่องการสร้างประสบการณ์กับกลุ่มเป้าหมายและขยายฐานลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ  ทั้งการประมูลงานศิลปะ แอนทีค รวมถึงงานนิทรรศการและการพัฒนาแอพพลิเคชั่นเพื่อให้บริการกับผู้เช่าของทางศูนย์ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพอีกด้วย

“จากภาพรวมจะเห็นได้ว่า ปัจจุบันองค์กรธุรกิจล้วนเผชิญปัจจัยที่ท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจและสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วทุกมิติ จึงจำเป็นต้องเร่งปรับตัวให้เท่าทันทั้งด้านเทคโนโลยี และคน โดยในด้านความพร้อม “บุคลากร” ซึ่งกำลังเป็นปัญหาสำคัญ โดยเฉพาะตลาดกลุ่มโรงแรม และ ก่อสร้างที่กำลังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานคุณภาพ ดังนั้นอีกหนึ่งแนวทางขับเคลื่อนธุรกิจกลุ่มบริษัทอิตัลไทยในปี 2565 จึงมุ่งเน้นที่การพัฒนา “บุคลากร” และปรับวิธีการทำตลาดสู่ “ดิจิทัล” เป็นสำคัญ เพื่อเตรียมความพร้อมให้สามารถขับเคลื่อนธุรกิจได้ทั้งในสภาวะวิกฤตและสร้างการเติบโตที่รวดเร็วเมื่อกลับเข้าสู่ภาวะปกติ คาดจะส่งผลดีทั้งต่อองค์กรและลูกค้าของกลุ่มบริษัทอิตัลไทยได้อย่างยั่งยืน”